วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เคล็ดลับการทำก๋วยเตี๋ยวแห้งให้อร่อย

คัดลอกจาก http://pantip.com/topic/32502289

วันนี้เห็นมีน้องใน facebook คนนึงบ่นเรื่องก๋วยเตี๋ยวแห้งที่เกาะกันเป็นก้อน หาความน่ากินไม่ได้เลย ก็นึกถึงเคล็ดลับการลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวแห้ง โดยเฉพาะเส้นบะหมี่เนี่ย ถ้าจะให้อร่อย ต้องคลุกน้ำมันกระเทียมเจียวที่มีน้ำมันหมูเป็นองค์ประกอบ และจะต้องใส่กากหมูเพื่อที่จะเพิ่มความฟินในการกินให้สุดๆไปเลย

จริงๆแล้วเคล็ดลับในการลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวในการทำก๋วยเตี๋ยวแห้งให้อร่อยและ ไม่เกาะตัวเป็นก้อนแป้งที่แสนแหยะนั้น ทำได้โดยคลุกน้ำมันกระเทียมเจียวที่ใช้น้ำมันหมูโดยใส่เกลือเล็กน้อย เพื่อเพิ่มรสชาติให้มีความเข้มข้นมากขึ้น และมีผิวสัมผัสที่กรุบๆของกากหมูเจียวช่วยชูรสชาติเพิ่มขึ้นไปอีก...

ปกติไขมันอิ่มตัวจากไขสัตว์ซึ่งมักจะเป็น C18 หรือ Stearic acid derivative หรือน้ำมันปาล์มซึ่งมักจะเป็น C16 หรือ Palmitic acid derivative

ซึ่งก็อีกนั้นแหละ เนื่องด้วย C18 จะมีความยาวสายโซ่โมเลกุลที่มากกว่า ก็จะทำให้เกิดผลึกได้ง่าย C16 ของน้ำมันปาล์ม

ซึ่งไขมันอิ่มตัวเหล่านี้จะสามารถคลุกเส้นได้ดีกว่าการใช้ไขมันไม่อิ่มตัว (จากน้ำมันพืชส่วนใหญ่) โดยลักษณะทางโครงสร้างเคมีอยู่แล้ว

เนื่องจากไขมันที่อิ่มตัวสามารถที่จะฟอร์มผลึกแทรกในน้ำมัน โดยที่สภาวะอุณหภูมิสูงกว่าจุดหลอมเหลว ก็จะทำให้ผลึกไขมันหลอมละลายได้ และกลับตกผลึกได้อีกเมื่ออุณหภูมิลดลง ซึ่งผลึกนี้มีความสามารถในการเลื่อนไถลได้ดี จึงสามารถทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ถูกเคลือบนั้นมีสัมผัสที่ลื่นไถลได้ดี ป้องกันไม่ให้เส้นก๋วยเตี๋ยวเกาะเป็นก้อนแป้ง

ต่างจากไขมันที่ไม่อิ่มตัวที่จะไร้ผลึก และมีความสามารถในการไหลลงไปกองที่ก้นถ้วยอย่างไร้ความน่ากิน จึงทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ใช้น้ำมันพืชอื่นๆเวลาคลุกกับเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้ว จึงมักจะได้เส้นแหยะเละและรวมตัวกันเป็นก้อน

แต่อย่างไรก็ตามไขสัตว์จะก่อผลึกที่ลื่นไถลได้ดีกว่าไขที่ได้จากน้ำมันปาล์ม (ถึงแม้จะเป็นไขมันที่อิ่มตัวเช่นกัน) จึงทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวที่คลุกด้วยน้ำมันหมูหรือไขวัวจึงให้สัมผัสเส้นที่ ฟูฟ่องกว่าการใช้น้ำมันปาล์ม

นอกจากนั้นการเติมเกลือเล็กน้อยในขณะที่ทำการเจียวไขสัตว์ก็จะทำให้มีอนุภาค ของเกลือมีการกระจายตัวเคลือบผิวแป้งในก๋วยเตี๋ยวและทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวมี การคายน้ำออกมามากกว่า จึงทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวที่คลุกนั้นมีความเหนียวมากกว่าการไม่ใช้เกลือในการ เจียวไขสัตว์ อีกทั้งทำให้เกิดรสชาติเค็มปะแล่มนิดๆช่วยชูรสชาติได้เป็นอย่างดี

แต่การใช้ไขมันอิ่มตัวที่เจียวจากไขสัตว์ใส่เกลือเล็กน้อยในการคลุกเส้น ก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ลวกเหนียว นุ่ม เด้ง อร่อยเท่านั้น...

เทคนิคในการเลือกอุณหภูมิที่ลวกเส้นก็เป็นอีกเทคนิคที่สำคัญที่จะทำให้ผิวสัมผัสของเส้นก๋วยเตี๋ยวที่จะทำเป็นก๋วยเตี๋ยวแห้งให้อร่อย..

วิธีการลวก ก็ควรที่จะลวกในน้ำเดือดจัดในระยะเวลาเป็นอันสั้น เพื่อทำให้เม็ดแป้งที่อยู่ในเส้นก๋วยเตี๋ยวเกิดการพองตัวเป็น Gel ภายนอก (คืออุณหภูมิที่ใช้ในการลวกต้องสูงกว่า Gelatinous point ของแป้งสูงสุด แปลเป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือ ลวกน้ำเดือดจัดอย่างที่ว่ามาข้างบนนั้นแหละ 5555) และพอเห็นเส้นใสภายนอกแล้ว ก็ควรที่จะล้างน้ำเย็นจัด (หรือจะใช้น้ำอุณหภูมิห้องก็ไม่ว่ากันนะ) เพื่อทำให้เกิด Gel setting ที่สมบูรณ์ แล้วจึงมาผ่านน้ำร้อนซ้ำอีกครั้ง เพื่อฆ่าเชื่อโรคปนเปื้อนในน้ำเย็น 555

หลังจากนั้นก็จัดการคลุกน้ำมันกระเทียมเจียวจากไขสัตว์ในปริมาณที่พอจะ เคลือบเส้นได้หมด ปรุงรสด้วยซี่อิ้วขาวแบบเกรดที่ไม่เค็มจัดให้เกิดรสอุมามิอย่างสมบูรณ์แบบ โปะเนื้อสัตว์ ลูกชิ้นตามใจชอบ ผักลวกเช่น ถั่วงอกลวก ผักกวางตุ้งลวก คะน้าลวก กระหล่ำปลีลวกตามถนัดของแต่ละคน ท้ายสุดต้องเสริม Aroma ด้วยต้นหอม ผักชี .... ว้าววววววว!!!! แจ่มซะไม่มีเลยหล่ะ

ยังไงก็ขอขอบคุณภาพสวยๆจาก http://www.chingcancook.com/steps.php?id=180 ด้วยนะครับ เพราะภาพนี้ผมขโมยมา เนื่องจากว่าไม่ได้มีรูปแบบนี้ส่วนตัวเลย

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องราวของฮาจิโกะ ความรักและมิตรภาพระหว่างคนกับสุนัข

ย่านชิบูยะในประเทศญี่ปุ่น
มีรูปหล่อ สุนัขตัวหนึ่งชาวญี่ปุ่นหลายคนรู้จักมันเป็นอย่างดี
มันตัวแทนให้ ระลึกถึงความรักและมิตรภาพระหว่างคนกับสุนัข
เจ้าฮาจิโกะ(ฮาจิ โกะ)สุนัขพันธุ์อากิตะ(Akita)คือ.......ตำนานเบื้องหลังรูปปั้นนี้
เรื่อง ของ เจ้าฮาจิโกะ เกิด ขึ้นระหว่าง 10 พย.2466 ถึง 8 มีค.2496(Nov 10,1923 - March 8, 1935)
ฮาจิโกะ เป็นสุนัขสายพันธุ์อคิตะ (Akita)เกิด ที่เมืองโอดาเตะ จังหวัดอคิตะ ประเทศญี่ปุ่น
ลืมตาขึ้นมาดูโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1923 (2466)ในจังหวัดอากิตะ เมื่ออายุได้ เพียง 2 เดือน
เจ้าฮาจิโกะถูก ส่งตัวไปอยู่กรุงโตเกียวกับเจ้านายของมัน คือ
ศาสตราจารย์ เอซะบุโระ อุเอะโนะ
อาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์
แห่งมหาวิทยาลัย อิมพีเรียล(มหาวิทยาลัยโตเกียวในปัจจุบัน)
ศาสตราจารย์ มีความภาคภูมิใจกับเจ้าฮาจิโกะเป็นอย่างมาก
มันเป็นสุนัขอากิตะสาย พันธุ์แท้ซึ่งหาได้ยากในสมัยนั้น
เจ้าฮาจิโกะ จะคอยส่งเจ้านายถึงประตูหน้าบ้าน
จาก นั้นเมื่อถึงเวลา 15.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้ว
เจ้าฮาจิโกะจะ มากระดิกหางรอพบเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟเสมอ
เมื่อเสียงรถไฟมาถึง สถานีเจ้า ฮาจิโกะ เจ้าชะเง้อหน้ามองหานายของมัน
เมื่อเจ้านายมัน เดินออกจากประตูสถานีมันก็จะวิ่งไปหาและออดอ้อน
ศาสตราจารย์จะก้มลง กอดมันและพากันเดินกลับบ้านเป็นเช่นนี้ทุกวัน - วันแล้ววันเล่า
วัน ที่ 21 เดือนพฤษภาคม 1925 (2468)ศาสตราจารย์ อุเอะโนะ เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก
และเสียชีวิตขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย
แต่ในวันนั้น....ฮาจิโกะ....ยังคงมารอ.....ที่สถานีรถไฟดั่งเช่นทุก ๆ วัน
มันไม่มีทางรู้ได้หรอกว่า มันจะไม่ได้พบกับเจ้านายของมันอีกแล้ว
หลังจากการเสียชีวิตของที่ศาสตราจารย์อุเอะโนะภรรยาของเขาได้ย้ายบ้านไป
โดยนำเจ้าฮาจิโกะไปไว้กับญาติของศาสตราจารย์ที่อยู่ห่างออก
บ้านใหม่ ของ ฮาจิโกะ อยู่จากบ้านเดิมของมัน และสถานีรถไฟซิบูยะ หลายกิโลเมตร
วันที่เจ้านายต้องไปทำงานจะต้องไป ขึ้นรถไฟที่ สถานีชิบูยะ
เจ้าฮาจิโกะไม่ยอมอยู่กับเจ้านายใหม่ของมัน ทันทีที่มันหลุดออกมาได้ มันวิ่งตรงไปที่บ้านเก่า
เมื่อไม่เจอใคร มันจึงกลับไปรอที่สถานีรถไฟ เหมือนเมื่อครั้งที่เจ้านายของมันยังมีชีวิตอยู่
หลังจากนั้นทุก ๆ วันเมื่อถึงเวลา 15.00 น.
ผู้คนย่านนั้นจะเห็นเจ้า ฮาจิโกะ มานั่งอยู่ที่เดิม
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินมันก็จะหายไป
มัน ไป อาศัยหลับนอนอยู่บริเวณใกล้เคียงกับสถานีรถไป
ไปนอนอยู่ใกล้ ๆ บ้านเก่าของมันบ้าง เพื่อเฝ้ามองดูคนในบ้านเผื่อว่าเจ้านายมันมาปรากฎตัว
คิ คุซะบุโระ โคบายาชิ อดีตคนสวนของศาสตราจารย์
ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับ สถานีรถไฟเป็นคนคอยดูแลเจ้าฮาจิโกะ
ในเวลาที่อากาศเย็นลง มันก็จะไปหลบอยู่ใต้ซากรถไฟเก่าบ้าง
เพื่ออาศัยความอบอุ่นหลับนอน
มัน รอเวลาบ่าย 3 โมงเพื่อที่จะไปรอเหมือนเช่นทุกวัน
เมื่อเสียงรถไฟมา ถึงสถานี เจ้าฮาจิโกะ ก็จะลุกลี้ลุกลนชะเง้อหน้ามองหานายของมัน
คน แล้วคนเล่า เดินผ่านมันไป.....ไม่มีเจ้านายของมัน
จนกระทั่งคนสุด ท้ายเดินผ่านไปมันจึงจะกลับไปที่อยู่ของมัน
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ที่มันรอคอย
ผู้คนย่านนั้น มองดูมันด้วยความสงสาร
ซึ่ง ก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการให้อาหารแก่มัน
เรื่องราวความซื่อ สัตย์ของมัน เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะเมื่อ เรื่องราวของมัน
ถูกตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในปี 1932
ทำให้ผู้คนทั่วสารทิศเดินทางมาดูมาเล่นกับเจ้าฮาจิโกะ
ชาว ญี่ปุ่นได้ยกให้เจ้าฮาจิโกะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็ก ๆ อีกด้วย
ใน เดือนเมษายน 1934 อันโดะ เทะรุ ศิลปินชื่อดังจึงได้ทำรูปหล่อทองแดงของเจ้าฮาจิโกะขึ้นมาเพื่อยกย่อง
และ นำไปตั้งไว้ที่สถานีรถไฟชิบูยะ
การรอคอย....ของ ฮาจิโกะ ยังคงดำเนินไป....อย่าง...มีความหวัง.......
คืนวันหนึ่ง ฮาจิโกะ เกิดมีความรู้สึกบางอย่างที่พิเศษกว่าคืนอื่น ๆที่ผ่าน ๆ มา
ท่าม กลางเกร็ดหิมะ...........มันออกเดินไปนั่งคอยนายของมันที่เดิม
โดย ไม่รอให้ถึงบ่าย 3 โมงอย่างเช่นที่เคย
มันทอดสายตาไปที่ประตู ชานชลาและเฝ้ามอง
หลายชั่วโมง...........ผ่านไป............มีแต่ ความว่างเปล่า
มันรู้สึกหนาว..........................เหนื่อย ล้า.....
แต่มันก็เชื่อว่าวันนี้แหละ.................มันจะได้พบนายของมันอย่างแน่นอน
ความหนาวและเหนื่อยล้า........ทำให้มันต้อง เปลี่ยนจากท่านั่ง
มันล้มตัวลงนอนด้วยจิตใจที่กระชุ่มกระชวยกว่าทุก ๆ วันที่ผ่านมา
มันนอนลง.........ด้วยจิตใจที่หวังว่า.........มันได้ พบนายของมันอย่างแน่นอน......เร็ว ๆ นี้
มันหลับตาลง.....ภาพความทรง จำเมื่อครั้งที่มันวิ่งไปรับเจ้านายผุดขึ้นในใจมาราวกับเป็นเรื่องจริง
มัน ยืนสองขากระกุยเจ้านาย
เจ้านายกอดมัน..........สัมผัส มัน..........อย่างที่ไม่เคย - ได้รับจากผู้ใด
มันเดินคู่ไปกับเจ้า นายเพื่อกับยังบ้านอันแสนอบอุ่น
อาบน้ำร่วมอ่างเดียวกันกับเจ้านาย
ความ อบอุ่นจากความทรงจำคลายหนาวเหน็บและความเหนื่อยล่าลงไปบ้าง
เป็น การนอนและหลับตาครั้งสุดท้าย
มันไม่ได้ลืมตาและลุกขึ้นอีกเลย
วาระ สุดท้ายแห่งการรอคอย...........มาถึงแล้ว
10 ปี.....................แห่งการอคอย
ล้มหายใจสุดท้าย.....หมดลงไป พร้อมกับ....การสิ้นสุดแห่งการรอคอย
วันที่ 8 มีนาคม 1935 (2478)
ผู้ คนที่เคยผ่านไปมาในย่านซาบูยะ
หลายคนต้อง..................หลั่ง น้ำตา
ภาพ...............ฮาจิโกะ นอนคอยเจ้านายของมันเหมือนทุก ๆ วัน เหมือนกว่า 10 ปี ที่ผ่านมา.......ต่างกันตรงที่วันนี้มันไม่มีลม
หายใจแล้ว
คนที่เคย ให้อาหารแก่มัน ยังคงเตรียมอาหารมาเหมือนเช่นทุกวันแต่วันนี้ ฮาจิโกะ ไม่ลุกขึ้นมาขออาหารแล้ว
ข่าวการตายของฮาจิโกะถูกตีพิมพ์ลงบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น
ร่างของฮาจิโกะ ได้รับการเชิดชูอย่างเกียรติ
มัน ถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในกรุงโตเกียว
แม้ ว่าฮาจิโกะจะจากไปแล้วแต่เรื่องที่น่าสนใจจากฮาจิโกะยังคงไม่จบ
ช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้เหล็กและโลหะเป็นอย่างมาก
จน ถึงกับต้องเอารูปหล่อของเจ้าฮาจิโกะมาหลอมเลยทีเดียว
กระนั้นความ ซื่อสัตย์ของฮาจิโกะยัง คงไม่เคยถูกลืมไปจากใจชาวญี่ปุ่น
เพราะใน เวลาต่อมาได้มีการจัดทำรูปหล่อ ของฮาจิโกะขึ้นมาอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 1947
ศิลปินผู้รับหน้าที่นี้ก็ คือ อันโดะ ทะเคะชิ ลูกชายของ อันโดะ เทะรุ
ผู้ที่ทำหน้าที่สร้างรูป หล่อฮาจิโกะเมื่อครั้งแรกนั้นเอง
ปัจจุบัน จุดที่รูปหล่อฮาจิโกะตั้ง อยู่นั้นได้กลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของย่านชิบูยะ
ทั้งนี้นอกจากรูปหล่อที่ย่านชิบูยะแล้ว ยังคงมีรูปปั้นที่เตือนให้ระลึกถึงฮาจิโกะอยู่อีกหลายแห่ง เช่น
ที่หน้าสถานีรถไฟโอะดะเตะ ในจังหวัดอากิตะ บ้านเกิดของเจ้าฮาจิโกะ เป็นต้น
ส่วนเรื่องของเจ้าฮาจิโกะยังคงเป็นที่เล่าขานในญี่ปุ่น ถึงขนาดมีการนำไปสร้างเป็นละคร ภาพยนตร์ การ์ตูน และอื่น ๆ อีกมากมาย

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

[Tips Videos] เทคนิคการเก็บเงิน Cookie Run

1. [Tips] เทคนิคการเก็บเงิน Cookie Run ให้ได้ หลักหมื่น ต่อการวิ่ง ...




http://www.linkbucks.com/YwhW

 

2. [Line Cookie Run] - วิธีเก็บเงิน Silver Coins 10000+ ต่อรอบ ...

 

 

http://www.linkbucks.com/YwlK


3. cookie run เทคนิคเล่นยังไงให้ได้เงินเร็วกับคอมโบวิ่งเร็วลื่นหัวแตก ...


http://www.linkbucks.com/Ywoi







วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาวเน็ตจีนฮือฮา ​​​นักศึกษาสาวช่วยแม่ขายน้ำอ้อยในจีนช่วงตรุษจีน สวยขั้นเทพ ถึงขั้นยกเทียบ 1 ใน 4 หญิงงามที่สุดของจีน

ชาวเน็ตฮือฮา นักศึกษาสาวช่วยแม่ขายน้ำอ้อยในจีน น่ารักสะท้านยุทธภพ



          ชาวเน็ตจีนฮือฮา ​​​นักศึกษาสาวช่วยแม่ขายน้ำอ้อยในจีนช่วงตรุษจีน สวยขั้นเทพ ถึงขั้นยกเทียบ 1 ใน 4 หญิงงามที่สุดของจีน

              เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 เว็บไซต์ china.org.cn รายงาน ว่า แม่ค้าขายน้ำอ้อยคั้นคนหนึ่ง โด่งดังบนอินเทอร์เน็ตในชั่วข้ามคืน หลังจากที่ความสวยของเธอนั้นลือลั่นไปทั่ว โดยที่เธอขายน้ำอ้อยคั้นอยู่ริมถนนเติง กังปา ในเมืองจื้อกง ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน ประเทศจีน

              แม่ ค้าขายน้ำอ้อยคนดังกล่าวมีฉายาว่า "ไซซี ขายอ้อย" ซึ่งฉายาของเธอนั้นตั้งตามนาง ไซซี ​  1 ใน 4 ผู้หญิงที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน ซึ่งเมื่อมีชาวเน็ตลองสืบว่า เธอเป็นใคร ก็พบว่าเธอเป็นนักศึกษาสถาบันการแสดงเซี่ยงไฮ้ สูง 175 เซนติเมตร และมีความสวยเป็นเอกลักษณ์ พร้อมด้วยผมยาวสลวย และเธอมักจะกลับบ้านทุกเทศกาลตรุษจีน เพื่อช่วยแม่ขายน้ำอ้อย
              เมื่อภาพของเธอนั้นปรากฏบนโลกออนไลน์ เธอก็กลายมาเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน ลูกค้าบางคนถึงกับขับรถมาหลายร้อยกิโลเมตรเพียงเพื่อที่จะมาซื้อน้ำอ้อยจากเธอ อย่าง ไรก็ตาม ปฏิกิริยาเกี่ยวกับชื่อเสียงในเรื่องความงามของเธอนั้นก็ผสมกันไป บางคนออกมาวิจารณ์ว่า เธอก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากประชาสัมพันธ์ร้านเท่านั้น

              อย่าง ไรก็ตาม ด้านคุณแม่ของสาวขาย​น้ำ​อ้อย ได้ออกมาปฏิเสธคำวิจารณ์เหล่านั้นว่า ทุก ๆ วันหยุดฤดูหนาว ลูกสาวของฉันจะกลับบ้านมาช่วยครอบครัวขายน้ำอ้อย ธุรกิจของเราไปได้ดีตลอดช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ นี่ไม่ใช่การประชาสัมพันธ์ร้าน เราแค่อยากจะมีชีวิตที่เป็นปกติเท่านั้น 

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เกิดหลุมยุบยักษ์ sink hole ภายในพิพิธภัณฑ์รถยนต์คอร์เวทท์แห่งชาติ รัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา



เกิดหลุมยุบขนาดใหญ่ภายในพิพิธภัณฑ์รถยนต์คอร์เวทท์แห่งชาติ รัฐเคนทักกี สหรัฐ มีรถยนต์ถูกดูดตกลงไป 8 คัน


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองชิคาโกประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่13ก.พ.ว่า
พิพิธภัณฑ์คอร์เวทท์แห่งชาติตั้งอยู่ที่รัฐเคนทักกี สหรัฐ แถลงว่าเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์เมื่อเวลาประมาณ05.44 น.ของวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นจากบริษัทรักษาความปลอดภัยว่าเครื่อง ตรวจวัดความเคลื่อนไหวในพิพิธภัณฑ์ได้หายไปแล้วเมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ จึงพบว่ามีหลุมยุบขนาดใหญ่เกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์
หน่วยดับเพลิงของโบว์ลิ่งกรีน ในพื้นที่ที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ได้รุดมายังที่เกิดเหตุและดูแลพื้นที่แล้ว พร้อมกับประเมินว่า มีหลุมยุบขนาด12เมตรและลึก8-9เมตร


สำหรับรถยนต์ที่หายไปในหลุมยุบ 8 คันนั้น มี2คันเป็นรุ่นคอร์เวทท์ปี 1993 ซีอาร์-1 สไปเดอร์และปี 2009ซีอาร์-1บลู เดวิลทั้งสองคันนี้ยืมมาจากบริษัทรถยนต์เจเนอรัล มอเตอร์ และที่เหลืออีก6คันเป็นของพิพิธภัณฑ์เองมีรถยนต์คอร์เวทท์ปี 1962, รถยนต์ปี 1984พีพีจี เพซคาร์, รถยนต์มิลเลียนท์คอร์เวทท์ สร้างในปี 1992, รถยนต์สร้างในปี1993ในโอกาสครบรอบ40ปีของคอร์เวทท์, รถยนต์สร้างใน ปี2001ซีโอ6คอร์เวทท์ และ 1.5มิลเลียนท์คอร์เวทท์ สร้างในปี 2009ซึ่งทั้ง 6คันนี้เป็นของพิพิธภัณฑ์

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของสารสกัดจากเมล็ดองุ่น เพื่อผิวขาว หน้าใส สุขภาพดี

ประโยชน์ของสารสกัดจากเมล็ดองุ่น เพื่อผิวขาว หน้าใส สุขภาพดี

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

ข้อมูลจาก http://www.ctpcollagen2you.com ครับ

สาเหตุของความชราที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ คือ ฟรีแรดดิคอล (Free Radical) หรือ อนุมูลอิสระ ที่ เกิดขึ้นตลอดเวลาขณะที่เรามีชีวิตจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) คล้ายๆ กับการเกิดสนิมในเนื้อเหล็ก หรือการที่ปอกแอปเปิลทิ้งไว้ในอากาศ แล้วพบว่าเนื้อแอปเปิลจะมีสีดำ แต่ถ้าแช่แอปเปิลที่ปอกแล้วในน้ำ มะนาวก็จะไม่ดำ เนื่องจากวิตามินซีในน้ำมะนาวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ แอนตี้ออกซิแดนท์ นั่นเองสารก่ออนุมูลอิสระที่มีผลต่อร่างการเรามีอยู่ทั่วไป ทั้งในน้ำ อากาศ อาหาร ฝุ่น ควัน หรือแม้แต่แสงแดด สารมี ผงซักฟอก ซึ่ง ดร.เจฟรีย์ แบลนด์ (Jeffery Bland) นักเคมีและนักโภชนศาสตร์ พบว่า ผลกระทบที่ เกิดจากอนุมูลอิสระทำให้เกิดโรคกว่า 60 ชนิด คือ โรคภูมิแพ้ ปวดข้อ ข้อเข่าเสื่อม ต้อกระจก เบาหวาน ความ ดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในหลอดเลือด โรคหัวใจขาดเลือด ต่อมลูกหมากโต ความกระฉับของผิว ฯลฯ  ผิวขาว หน้าใส
ยังเป็นโชคดีของมนุษย์ที่อาหารในธรรมชาติ เช่น พืช ผักผลไม้ ที่เรารับประทานกันอยู่ในปัจจุบันมี พฤกษเคมี ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแดนท์ เช่น พวกวิตามิน เกลือแร่ สารเฟลโว นอยด์ ฯลฯ ที่ร่างกายต้องการ แม้ในปริมาณไม่มากนัก แต่มีความจำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ที่ ควบคุมการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งได้แก่ กลุ่มวิตามิน เช่น วิตามินเอ ซี อี ซีลีเนียม สารมีแดง คาร์โร ตินอยด์ ในพืชพักผลไม้ เช่น แครอท มะละกอ ฯลฯ  และแหล่งใหญ่ที่มีสร้างต้านอนุมูลอิสระมากอีกแหล่งหนึ่ง ก็คือ สารกลุ่มเฟลโวนอยด์ที่พบมากในเมล็ด และเปลือกขององุ่น มีสารเฟลโวนอยด์(Flavonoid) ที่เรียกว่า โปรแอนโธไซยานิดิน สารนี้เมื่อรวมตัวกันจะ อยู่ในรูปของ โอริโกเมริค โปรแอนโธไซยานิดิน (Oligomeric proanthocyyanidin) หรือเรียกย่อๆ ว่า
OPC มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและมากกว่าวิตามินอีถึง 20 และ 50 เท่าตามลำดับ  บางทีเรียกกันว่า ซูเปอร์แอนติออกซิแดนท์ (Superantioxidant)
สารสกัดเมล็ดองุ่น หรือ OPC นี้ยังพบในเปลือกต้นมะนาว ถั่วลิสง เชอรี่ เปลือกส้ม เปลือกและเมล็ดองุ่น (สีแดงจะมีมากกว่า) ในประเทศทางยุโรป เช่น ฝรั่งเศสจะใช้สารสกัด OPC จากเมล็ดองุ่นและเปลือกต้นสนที่ อุดมด้วยวิตามินซีมาใช้เป็นยารักษาโรค และในสหรัฐอเมริกา สารสกัดจากเมล็ดองุ่นก็ติดอันดับ 1 ใน 10 ยา สมุนไพรที่ขายดีที่สุด
จากการวิจัยของ นพ.คล๊าก แฮนเซน พบว่า สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์ลดอนุมูลอิสระได้มากกว่า วิตามินซีและอี เป็นสูตรผิวขาว หน้าใส ที่น่าสนใจนอกจากนี้ ยังช่วยสร้างเสริมสารคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผิวหนังแข็งแรง เพื่อผิวขาว หน้าใสและยังลดการทำ งานของเอนไซม์ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และในระยะหลังๆ ตั้งแต่ปี 1980 พบว่า มีการใช้สารกลุ่มไบโอ เฟลโวนอยด์ที่เป็นสารสกัดเมล็ดองุ่นในการรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดและ เส้นเลือดฝอย เส้นเลือดฝอย เปราะ และใช้รักษาเบาหวานขึ้นตาและจอประสาทตาเสื่อม นอกจากนี้ คุณสมบัติในการเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ยังอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรค มะเร็ง โรคข้ออักเสบ ลดภูมแพ้จากยาต้านไวรัส ยาต้านมะเร็ง และ เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายการเลือกใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ต้องดูปริมาณของสารออกฤทธิ์ เพื่อให้ได้ผลคุ้มค่า คือ ควรมีปริมาณสาร OPC สูงประมาณ 92-95% ขนาดที่ใช้ในการรักษาสุขภาพ คือ วันละ 50-100 มิลลิกรัม แต่ในกรณีที่ใช้ บำบัดโรค ต้องใช้ขนาดสูงถึงวันละ 150-300 มิลลิกรัม
ตามปกติร่างกายของเราจะมีการเสื่อมอยู่ตลอดเวลา แต่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น พืชผัก และผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ ประมาณ 30 นาที โดยเลือกชนิดตามความเหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ เช่น เดินเร็ว แอโรบิก ฯลฯ และหลีกเหลี่ยงสารพิษ เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ อยู่ในที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทำให้จิตใจผ่องใส ไม่เครียด ไม่ อิจฉาริษยา ฯลฯ ก็เป็นหนทางในการหลีกเลี่ยงจากอนุมูลอิสระที่ทำให้ท่านแก่ก่อนวัยอันควรได้ ซึ่งการออก กำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายคุณจะสามารถสร้างสารต้าน อนุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแดนท์ได้ ทำให้ผิวขาว หน้าใสขึ้น
แต่ถ้าคุณเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะแก่เร็ว เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ทานอาหารหวาน และไขมันสูง ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย อยู่ที่แออัด ขาดสุขลักษณะ มีมลภาวะของอากาศสูง ผู้สูงอายุที่มีโรค แทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ มีระบบการย่อยอาหารไม่ดี ฯลฯ ท่านก็ควรพยายามลดปัจจัย เสี่ยงต่างๆ ข้างต้นโดยการเสริมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ที่อุดมด้วย วิตามินซี อี เอ ซีลีเนียม เช่น ส้ม มะเขือเทศ แครอท มะนาว กะหล่ำปลี บร็อกโคลี่ นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ฯลน ก็จะเป็นการดีที่สุด เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ใครๆ มาว่าให้ท่านช้ำใจว่า แก่เกินวัย หรือถ้ามีความจำเป็นที่จะต้อง ใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนการตัดสินใจ เพื่อสุขภาพดี และ ผิวขาว หน้าใส อย่างที่ท่านต้องการ.